/ 2 min read

เครือข่ายการเงินจีน-กัมพูชาได้รับการคุ้มครองจากนักการเมืองไทย

เครือข่ายการเงินจีน-กัมพูชาได้รับการคุ้มครองจากนักการเมืองไทย
Contributors
Share this post

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้ติดตามองค์กรอาชญากรรมมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเชื่อมโยงตั้งแต่ศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา ไปจนถึงห้องประชุมในประเทศไทย และเพนต์เฮาส์ในนิวยอร์ก การสืบสวนนี้เปิดโปงให้เห็นถึงวิธีที่เงินสกปรกไหลเวียนผ่านระบบการเงินของเอเชียตะวันออกเฉี

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้ติดตามองค์กรอาชญากรรมมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเชื่อมโยงตั้งแต่ศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา ไปจนถึงห้องประชุมในประเทศไทย และเพนต์เฮาส์ในนิวยอร์ก การสืบสวนนี้เปิดโปงให้เห็นถึงวิธีที่เงินสกปรกไหลเวียนผ่านระบบการเงินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับการคุ้มครองจากชนชั้นสูงทางการเมือง

สิ่งที่เราค้นพบไม่ใช่แค่การทุจริตในต่างประเทศ แต่เป็นคำเตือนเร่งด่วนเกี่ยวกับเครือข่ายที่คุกคามความมั่นคงทางการเงินโลกและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เฉพาะศูนย์หลอกลวงเหล่านี้ก็ทำให้ชาวอเมริกันต้องสูญเสียเงินออมไปถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี

การรายงานเชิงลึกเช่นนี้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งการวิเคราะห์เอกสารในหลายเขตอำนาจศาล การพัฒนาแหล่งข่าว และการทำงานสืบสวนนานหลายเดือน เราจะเปิดให้ทุกคนที่ลงทะเบียนสามารถอ่านชุดรายงานนี้ได้ฟรี แต่เราต้องการการสนับสนุนจากคุณเพื่อที่จะสามารถเปิดโปงอาณาจักรแห่งอำนาจและความมั่งคั่งที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ต่อไป

หากคุณเชื่อว่าวารสารศาสตร์เพื่อการตรวจสอบมีความสำคัญ โปรดพิจารณาอัปเกรดเป็นสมาชิกแบบชำระเงิน หรือบริจาคเงินสมทบแบบครั้งเดียว ทุกการสนับสนุนจะนำไปใช้ในการสืบสวนเช่นนี้โดยตรง

—ทอมและแบรดลีย์


เครือข่ายเงินสกปรกจีน-กัมพูชา ซึ่งได้รับการคุ้มครองจากอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ยังคงอยู่ แม้เราจะเปิดเผยเรื่องนี้ไปแล้วหลายสัปดาห์ เนื่องจากผู้สนับสนุนที่มีอิทธิพลกำลังพยายามหาวิธีที่จะรักษาเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในรูปแบบของเงินคริปโตที่ผิดกฎหมาย หุ้น และเงินสด

การสืบสวนนี้เปิดโปงให้เห็นว่า เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ และพันธมิตรชาวกัมพูชาของเขาเข้าควบคุมบริษัทการเงินรายใหญ่ของไทยอย่างลับๆ ได้อย่างไร เพื่อสร้างช่องทางการฟอกเงินที่เปลี่ยนรายได้จากการก่ออาชญากรรมหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งได้มาจากการหลอกลวงที่ทำให้ชาวอเมริกันต้องสูญเสียเงินปีละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยการซื้อหุ้นอย่างเป็นระบบที่ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ การแต่งตั้งพันธมิตรทางการเมืองในตำแหน่งสำคัญ และการร่วมมือกับบริษัทแลกเปลี่ยนเงินคริปโต KuCoin เครือข่ายนี้ได้สร้างระบบที่ซับซ้อนเพื่อฟอกเงินสกปรกผ่านระบบธนาคารของไทย ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลกลับล้มเหลวในการดำเนินการ

หนึ่งในผู้สนับสนุนคือ นายวรภัค ธันยาวงษ์ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (15 กันยายน 2568) ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของไทย และเป็นอดีตซีอีโอของธนาคารกรุงไทย นายวรภัคมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายนี้ ซึ่งมีเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ อาชญากรชาวแอฟริกาใต้เป็นผู้ดูแล ผ่านการถือครองหุ้นและตำแหน่งในคณะกรรมการที่ปรึกษา คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย (ก.ล.ต.) ซึ่งในอดีตเคยล้มเหลวในการดำเนินคดีอาญากับนายเมาเออร์เบอร์เกอร์ ก็ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับเครือข่ายนี้เช่นกัน


วิธีการทำงานของแผนการนี้

บทความเรื่อง Whale Hunting ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ได้แสดงให้เห็นว่า เครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์เข้าครอบงำบริษัทการเงินไทยอย่าง บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) อย่างลับๆ ได้อย่างไร ซึ่งเป็นการละเมิดกฎของ ก.ล.ต. ที่กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นอย่างมีนัยสำคัญในบริษัทมหาชนจะต้องมีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) การทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์เป็นข้อกำหนดตามกฎระเบียบที่ทำให้มั่นใจว่าเมื่อมีคนเข้าควบคุมบริษัทมหาชน พวกเขาจะต้องเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งหมดในราคาที่ยุติธรรม เพื่อคุ้มครองนักลงทุนส่วนน้อย

ต่อมา เครือข่ายซึ่งประกอบด้วยภรรยาของเมาเออร์เบอร์เกอร์และบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้แอบขายหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย เอ็กซ์ ให้กับเครือข่ายบริษัทบังหน้าซึ่งควบคุมโดยบริษัทคริปโต KuCoin อีกครั้ง ซึ่งเป็นการละเมิดกฎของ ก.ล.ต. เครือข่ายนี้ใช้โครงสร้างกองทุนที่ซับซ้อนในสิงคโปร์เพื่อปกปิดร่องรอยของพวกเขา

เครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์ถูกออกแบบมาให้สับสน แต่เหตุผลที่ต้องทำเรื่องยุ่งยากขนาดนี้ก็ง่ายมาก เมาเออร์เบอร์เกอร์และหุ้นส่วนลับของเขา ยิม เลียก นักธุรกิจชาวกัมพูชาที่มีความเชื่อมโยงสูง เป็นผู้ดูแลเครือข่ายนี้ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศแห่งหนึ่งประเมินว่ามีสินทรัพย์อย่างน้อย 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่ากับงบประมาณประจำปีของกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย

เครือข่ายนี้ขนเงินสกปรกจำนวนมหาศาลจากกัมพูชา ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ขึ้นชื่อเรื่องการพนันที่เกี่ยวข้องกับจีน ศูนย์หลอกลวง ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ รัฐบาลสหรัฐฯ ประเมินว่าเฉพาะศูนย์หลอกลวงเหล่านี้สร้างความเสียหายให้ชาวอเมริกันถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีในรูปของเงินออมที่ถูกขโมยไป ซึ่งมากกว่ารายได้รวมประจำปีของบริษัทอย่าง Marriott International หรือ FedEx เสียอีก

เมาเออร์เบอร์เกอร์อยู่ในบัญชีเฝ้าระวังของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ มานานแล้ว แต่เขาจะระมัดระวังไม่เดินทางเข้าไปในประเทศที่มีสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐฯ โดยจะอาศัยอยู่ในประเทศไทย กัมพูชา และดูไบ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับความพยายามนี้กล่าวว่า สหรัฐฯ ต้องการให้เขาได้รับโทษตามกฎหมาย เนื่องจากไม่ต้องการให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรในภูมิภาค กลายเป็นประเทศบริวารของจีนเหมือนกัมพูชา


การคุ้มครองจากนักการเมืองและโครงสร้างพื้นฐานในการฟอกเงิน

เครือข่ายนี้ได้รับการคุ้มครองจาก ทักษิณ ซึ่งเมาเออร์เบอร์เกอร์ได้ซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Bombardier Global G7500 มูลค่า 60 ล้านดอลลาร์ให้ในปีนี้ แต่เครือข่ายก็ยังต้องการช่องทางในการฟอกเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ที่มาจากกัมพูชาให้เข้าสู่ระบบธนาคารของไทยและของโลกได้ และหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ก็คือความพยายามอย่างลับๆ ที่จะเข้าควบคุม ฟินันเซีย ซึ่งเป็นบริษัทการเงินของไทย

การยึดบริษัทฟินันเซียอย่างลับๆ

ในการซื้อขายอย่างเป็นระบบ เครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์ได้เข้าควบคุมบริษัทฟินันเซีย:

  • 1 กรกฎาคม 2567: แคทลียา บีเวอร์ ภรรยาของเมาเออร์เบอร์เกอร์ เข้าซื้อหุ้น 9.85% ทำให้เธอถือครองหุ้นทั้งหมดเป็น 10% ในวันเดียวกัน นางสุภารัตน์ แสงเมือง ภรรยาคนแรกของเมาเออร์เบอร์เกอร์ ก็ได้ซื้อหุ้น 6.45% ทำให้เธอถือหุ้นทั้งหมดเป็น 7.82% ในช่วงเวลานี้เอง บริษัทสัญชาติสิงคโปร์ที่ควบคุมโดยวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของไทย ได้ขายหุ้นในบริษัทฟินันเซียออกไป 5.22% ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการดำเนินการที่ประสานงานกัน
  • 18 มีนาคม 2568: BIC Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของกัมพูชาที่ก่อตั้งโดย ยิม เลียก หุ้นส่วนของเมาเออร์เบอร์เกอร์ ได้เข้ามาถือหุ้น 10% ในบริษัทฟินันเซีย

บุคคลที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเมาเออร์เบอร์เกอร์ และถือครองหุ้นในบริษัทฟินันเซียรวมกันมากกว่า 25% ซึ่งตามหลักแล้วควรจะต้องมีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ของไทย แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้น

นอกเหนือจากการถือครองหุ้นเหล่านี้แล้ว Pilgrim Finansa Investment Holdings Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ที่วรภัคถือหุ้นอยู่ 60% ก็ยังคงถือครองหุ้นในบริษัทฟินันเซียอยู่ 24.14% ในขณะนั้น วรภัคนั่งเป็นกรรมการที่ปรึกษาของ BIC Group ซึ่งเป็นบริษัทของยิม เลียก


ความเชื่อมโยงกับสิงคโป

หุ้นที่ Pilgrim Finansa ของนายวรภัคถือครองอยู่นั้น บริหารจัดการโดย Capital Asia Investments (CAI) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนในสิงคโปร์ แหล่งข่าวสองรายที่ทราบเรื่องนี้ระบุว่า จอร์จ ตัน และ ยูจีน ถัง ผู้ก่อตั้งบริษัท CAI ซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ทั้งคู่ จะทำงานที่สำนักงานของ BIC เมื่อพวกเขาอยู่ในกรุงเทพฯ

ตามเอกสารด้านหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ อย่างน้อยหนึ่งกองทุนของ CAI คือ CAI Optimum Fund ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนที่มีทุนแปรผัน ได้รับการบริหารร่วมกันโดย จอร์จ ตัน, ยูจีน ถัง และแคทลียา บีเวอร์ ภรรยาของเมาเออร์เบอร์เกอร์ บริษัทเงินทุนที่มีทุนแปรผันนี้เป็นโครงสร้างกองทุนของสิงคโปร์ที่เปิดให้มีทุนเรือนหุ้นที่ยืดหยุ่นได้ และมักใช้สำหรับกองทุนเพื่อการลงทุน ทำให้การปกปิดการเป็นเจ้าของและการไหลเวียนของเงินทำได้ง่ายขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ CAI เป็นบริษัทบังหน้าของเครือข่ายเมาเออร์เบอร์เกอร์ ซึ่งช่วยในการเคลื่อนย้ายเงินผ่านสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการจัดการกองทุนระดับโลกในรูปแบบที่ซับซ้อนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ


ความเชื่อมโยงกับ KuCoin

ในต้นปี 2568 เครือข่ายนี้เริ่มขายหุ้นในบริษัทฟินันเซียให้กับบริษัทบังหน้าที่ควบคุมโดย KuCoin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคริปโตรระดับโลกที่บริษัทแม่เคยถูกปรับเงิน 300 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2567 โทษฐานประกอบธุรกิจโอนเงินโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและล้มเหลวในการหยุดยั้งการฟอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ฉวนเยา เฉิน อดีตวาณิชธนากรของ Goldman Sachs ในฮ่องกง ได้เข้าเป็นกรรมการบริษัทฟินันเซีย บุคคลสองรายที่ทราบเรื่องนี้กล่าวว่า ฉวนเยา เฉิน หรือที่รู้จักกันในชื่อ เฮนรี่ เฉิน เป็นที่รู้จักในสำนักงานของ BIC ในกรุงเทพฯ ในฐานะตัวแทนของ KuCoin (ในเดือนมิถุนายน 2568 KuCoin ได้ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มคริปโตใหม่ในประเทศไทย และในเอกสารข่าวระบุชื่อเฮนรี่ เฉิน เป็นกรรมการของ KuCoin ประเทศไทย)

เฮนรี่ เฉิน เป็นผู้ดูแลการโอนหุ้นของบริษัทฟินันเซียจากเครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์ไปยังบริษัทบังหน้าของ KuCoin:

  • 10 กุมภาพันธ์ 2568: แคทลียา บีเวอร์ ได้ขายหุ้น 10% ของเธอในบริษัทฟินันเซียให้กับ Beteverse Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเซเชลส์ (มี หลี่ ฮัง ซึ่งเป็นพนักงานของ KuCoin เป็นกรรมการ)
  • BIC Bank ที่ควบคุมโดยยิม เลียก ได้ขายหุ้น 10% ของตนให้กับ Rapidfire Technologies ซึ่งเป็นบริษัทในฮ่องกงที่เชื่อมโยงกับ KuCoin

ขณะเดียวกัน Pilgrim Finansa Investment Holdings ได้รับเงินกู้จาก CAI Optimum Fund โดยมีหุ้น 24.14% ในบริษัทฟินันเซียเป็นหลักประกัน และความเป็นเจ้าของกองทุนได้ถูกโอนจากแคทลียา บีเวอร์ และกนกพร สีตะวรารัตน์ (ภรรยาของวรภัค) ไปยัง Beteverse หากเกิดกรณีผิดนัดชำระหนี้ Beteverse ซึ่งก็คือ KuCoin ก็จะเข้าควบคุมหุ้นทั้งหมด


การขุดคริปโตและการฟอกเงิน

การที่ KuCoin แอบซื้อหุ้นของบริษัทฟินันเซียอย่างลับๆ หมายความว่าเครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์ในตอนนี้มีพันธมิตรเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนเงินคริปโตขนาดใหญ่ ซึ่งยังควบคุมบริษัทการเงินของไทยอย่างลับๆ ได้ด้วย ทำให้สามารถโยกย้ายเงินจำนวนมหาศาลระหว่างเงินดิจิทัลและระบบธนาคารได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครตรวจสอบ

ขณะเดียวกัน เมาเออร์เบอร์เกอร์และยิม เลียก ก็ควบคุมธุรกิจขุดคริปโตในลาว ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางให้เครือข่ายอาชญากรรมนี้สามารถเคลื่อนย้ายเงินได้ บริษัทขุดบิตคอยน์นี้เป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง Green Tech Ventures ซึ่งเป็นบริษัทไทยที่แคทลียา บีเวอร์ และกองทุนที่บริหารโดย CAI ถือหุ้นอยู่ กับ AIF Group ซึ่งเป็นบริษัทลาวที่เป็นผู้ก่อตั้ง BIC Bank ของยิม เลียกในกัมพูชา

กิจการขุดบิตคอยน์นี้ช่วยให้เครือข่ายสามารถนำเงินคริปโตที่ได้มาจากการหลอกลวงหรือจากแหล่งอาชญากรรมอื่นๆ มาทำให้ดูเหมือนเป็น "เงินที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่" โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า "Layering" เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของบล็อกเชนที่เป็นระบบสาธารณะ เทคนิค Layering คือการย้ายเงินผ่านธุรกรรมและบัญชีหลายรายการเพื่อปกปิดที่มา ทำให้เงินคริปโตที่ผิดกฎหมายดูเหมือนเป็นเงินที่ถูกต้อง

จากนั้น เงินสามารถถูกโอนเข้าสู่แพลตฟอร์มของ KuCoin ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนเข้าสู่ระบบธนาคาร ระบบนี้ รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายเงินสดจำนวนมหาศาลผ่านเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวระหว่างกัมพูชาและกรุงเทพฯ โดยไม่มีการตรวจสอบ จะช่วยให้เครือข่ายได้รับประโยชน์อย่างสมบูรณ์จากแผนการของทักษิณ ซึ่งดำเนินการโดยแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของเขาซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (จนถึงเดือนสิงหาคม 2568) ที่จะทำให้คาสิโนในประเทศไทยถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แผนการดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยรัฐบาลใหม่ของประเทศไทย


การสืบสวนระหว่างประเทศ

นับตั้งแต่ที่บทความ Whale Hunting เริ่มรายงานเกี่ยวกับเครือข่ายนี้ เจ้าหน้าที่ในสหรัฐฯ, สิงคโปร์ และไทย ได้เพิ่มการตรวจสอบในหลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้อง:

  • ในสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนอพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์กมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ที่ซื้อโดยแคทลียา บีเวอร์, เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์, เรือยอชต์สุดหรูมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ และสินทรัพย์อื่นๆ ที่คู่สามีภรรยาคู่นี้ควบคุมอยู่
  • ธนาคารกลางสิงคโปร์กำลังตรวจสอบการไหลเวียนของเงินจากเครือข่ายที่มืดมนนี้ ซึ่งได้เคลื่อนย้ายผ่านรัฐแห่งนี้
  • หนังสือพิมพ์ The Business Times รายงานว่า Capital Asia Investments มีการซื้อขายหุ้นไทยมูลค่า 658 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งบางส่วนมีความเชื่อมโยงกับยิม เลียก

การคุ้มครองจากนักการเมืองและความคืบหน้าล่าสุด

ในเดือนกันยายน 2568 ทักษิณ ชินวัตร ถูกจำคุกในข้อหาทุจริต หลังจากที่แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของเขา ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม 2568 ไม่นาน ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เปิดโปงเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ทักษิณพึ่งพาเมาเออร์เบอร์เกอร์ในการซื้อทรัพย์สินต่างๆ เช่น เครื่องบินเจ็ต Bombardier Global และรถ Rolls Royce และเป็นการตอบแทน ทักษิณก็ได้ให้การคุ้มครองในระดับสูงแก่เครือข่ายของชาวกัมพูชา ตามที่เรารายงานเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 เครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์ยังได้แอบซื้อหุ้นในบางจาก ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของไทยที่จะได้รับประโยชน์จากความพยายามของทักษิณในการเปิดสำรวจน้ำมันร่วมกับกัมพูชาในอ่าวไทย

ในอดีต ก.ล.ต. ล้มเหลวในการปกป้องระบบการเงินของประเทศจากเมาเออร์เบอร์เกอร์ ในปี 2562 ก.ล.ต. ได้ยื่นฟ้องอาญาต่อเมาเออร์เบอร์เกอร์ ซึ่งขณะนั้นใช้นามแฝงว่า "เบนจามิน เบอร์เกอร์" ในข้อหาเสนอขายหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาต เมาเออร์เบอร์เกอร์ได้จัดการประชุมนักลงทุนที่โรงแรม Millennium Hilton ในกรุงเทพฯ ซึ่งเขาได้เร่ขายหุ้นในสิ่งที่เขาอ้างว่าเป็นบริษัทเรียกรถโดยสารแห่งใหม่ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีทางกฎหมายใดๆ เกิดขึ้น

ในทำนองเดียวกัน จนถึงขณะนี้ ก.ล.ต. ก็ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการสะสมหุ้นอย่างลับๆ ในบริษัทฟินันเซียหรือบางจาก


สถานะปัจจุบัน

Vorapak and his wife

การคุ้มครองที่ได้รับจากนายวรภัค ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอันดับสองในกระทรวงการคลัง ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญ

ในขณะเดียวกัน นายวรภัคได้ถอนตัวออกจากเครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์:

  • ในเดือนพฤศจิกายน 2567 เขาขายหุ้น 60% ใน Pilgrim Finansa Investment Holdings
  • ในเดือนกันยายน 2568 ชื่อของเขาถูกลบออกจากเว็บไซต์ของ BIC Group ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการ
  • เมื่อวันที่ 10 กันยายน นายวรภัคโพสต์บน Facebook ว่าเขาเคยพบนายยิม เลียกเมื่อหลายปีก่อนเพื่อขอคำแนะนำด้านการธนาคารเท่านั้น และปฏิเสธว่าไม่มีการติดต่อใดๆ เพิ่มเติม

ดูเหมือนว่าการที่นายวรภัคเข้าไปอยู่ในกระทรวงการคลัง เจ้าหน้าที่ไทยต่างหวังว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเงียบหายไปเองโดยไม่ต้องมีการดำเนินการใดๆ


สิ่งที่ตกอยู่ในความเสี่ยง

เครือข่ายของเมาเออร์เบอร์เกอร์ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับระบบการเงินของประเทศไทยและความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามมาตรฐานการต่อต้านการฟอกเงินระหว่างประเทศ ด้วยสินทรัพย์ที่ผิดกฎหมายมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ที่ไหลเวียนผ่านบริษัทและธนาคารในไทย เครือข่ายนี้กำลังคุกคามสถานะของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่น่าเชื่อถือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเข้ามาเกี่ยวข้องของ KuCoin ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบในข้อหาอำนวยความสะดวกในการฟอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ยิ่งเพิ่มความเร่งด่วนให้กับสถานการณ์นี้ ทุกวันที่เครือข่ายนี้ยังคงดำเนินการอยู่ นั่นหมายถึงการอำนวยความสะดวกในการขโมยเงินออมจากเหยื่อการหลอกลวงทั่วโลก และเปิดทางให้องค์กรอาชญากรรมทำให้เงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายกลายเป็นเงินที่ถูกต้อง ผ่านระบบการเงินของประเทศไทย

คำถามที่เจ้าหน้าที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ชัดเจน: พวกเขาจะลงมือเพื่อทำลายเครือข่ายนี้และปกป้องความซื่อสัตย์ของระบบการเงินของตน หรือจะปล่อยให้เส้นสายทางการเมืองยังคงให้การคุ้มครองหนึ่งในปฏิบัติการฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป? ในขณะที่เจ้าหน้าที่สืบสวนระหว่างประเทศกำลังไล่ตามอย่างกระชั้นชิด และการคุ้มครองจากฝ่ายการเมืองกำลังอ่อนแอลง หน้าต่างแห่งโอกาสในการดำเนินการก็กำลังแคบลงเช่นกัน โลกกำลังจับตามองว่าประเทศไทยจะทำอย่างไรต่อไป


🐋
This is Whale Hunting, a newsletter and podcast delving into the secret worlds of money and power that we became obsessed with during our investigation into the globe-sprawling 1MDB scandal. That project changed our entire worldview. We wrote a book about it.

Back then, we were long-time reporters for The Wall Street Journal. Now, we’ve struck out on our own to uncover more brazen stories than ever. At Whale Hunting, we’re immersing ourselves in the murky waters of the ultra-wealthy and influential, from billionaires and kleptocrats to criminals, spies and corrupt officials.

Got a question or a tip for us? Get in touch at whalehunting@projectbrazen.com. You can also contact us securely here.

You can also follow Whale Hunting on Instagram, Threads and on X (Twitter). To chat with fellow Whale Hunters and stay in touch with Bradley and Tom, join our Discord server

For unlimited access to Whale Hunting’s investigative reporting, consider signing up for a paid subscription. You’ll get special editions of the newsletter and the Weekender, as well as premium podcast access and discounted merch. 

Enjoying Whale Hunting but not ready to subscribe? Show your support by leaving a tip (via credit/debit card or crypto) instead.